คลังเก็บป้ายกำกับ: ว่าจ้างทำงานวิจัย

วิธีการทำวิทยานิพนธ์

ภาพจาก www.pixabay.com

วิธีการหรือวิธีการที่ใช้ในวิทยานิพนธ์ หมายถึง ขั้นตอนและเทคนิคเฉพาะที่ใช้ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการวิจัย วิธีการหรือวิธีการที่ใช้ในวิทยานิพนธ์จะขึ้นอยู่กับคำถามหรือปัญหาการวิจัยที่กำลังกล่าวถึงและเป้าหมายของการวิจัย

 วิธีการทั่วไปบางอย่างที่ใช้ในสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ :

1. การสำรวจ

การสำรวจเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างบุคคลโดยใช้แบบสอบถามมาตรฐาน การสำรวจสามารถทำได้ทางออนไลน์ ทางไปรษณีย์ หรือด้วยตนเอง และเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติ พฤติกรรม และความคิดเห็น

2. การสัมภาษณ์

การสัมภาษณ์เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลผ่านการสนทนาแบบตัวต่อตัวหรือทางโทรศัพท์กับบุคคล การสัมภาษณ์อาจมีโครงสร้าง (โดยใช้ชุดคำถามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า) หรือไม่มีโครงสร้าง (ทำให้สามารถสนทนาแบบปลายเปิดได้มากขึ้น)

3. การทดลอง

การทดลองเกี่ยวข้องกับการจัดการตัวแปรอิสระเพื่อสังเกตผลกระทบต่อตัวแปรตาม การทดลองมีประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปร

4. กรณีศึกษา

กรณีศึกษาเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เชิงลึกของกรณีเดียวหรือหลายกรณี กรณีศึกษาอาจเป็นเชิงคุณภาพ (โดยใช้วิธี เช่น การสัมภาษณ์หรือการสังเกต) หรือเชิงปริมาณ (โดยใช้วิธี เช่น การสำรวจหรือการทดลอง)

5. การสังเกต

การสังเกตเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมหรือลักษณะของบุคคลหรือกลุ่ม การสังเกตสามารถมีโครงสร้าง (โดยใช้ชุดเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า) หรือไม่มีโครงสร้าง (ทำให้มีการสังเกตแบบปลายเปิดมากขึ้น)

โดยรวมแล้ว วิธีการที่ใช้ในวิทยานิพนธ์จะขึ้นอยู่กับคำถามหรือปัญหาการวิจัยที่กล่าวถึงและเป้าหมายของการวิจัย และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักวิจัยที่จะต้องพิจารณาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการวิจัยอย่างรอบคอบ

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ธีสิสทำกันกี่คน?

ภาพจาก www.pixabay.com

จำนวนผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการวิทยานิพนธ์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโครงการเฉพาะและข้อกำหนดของหลักสูตรหรือสถาบัน ในบางกรณี วิทยานิพนธ์อาจทำโดยนักศึกษาแต่ละคนที่ทำงานอิสระ ในกรณีอื่นๆ วิทยานิพนธ์อาจเป็นโครงการความร่วมมือที่มีนักศึกษาหรือนักวิจัยหลายคนทำงานร่วมกัน

โดยทั่วไป จำนวนผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการวิทยานิพนธ์จะขึ้นอยู่กับขอบเขตและความซับซ้อนของงานวิจัย ตลอดจนทรัพยากรและความเชี่ยวชาญที่มีให้สำหรับทีมวิจัย ปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อจำนวนผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการวิทยานิพนธ์ ได้แก่:

1. จำนวนคำถามการวิจัยหรือสมมติฐานที่กล่าวถึง

ยิ่งมีการตอบคำถามหรือสมมติฐานการวิจัยมากเท่าใด อาจจำเป็นต้องมีผู้คนจำนวนมากขึ้นเพื่อทำการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล

2. ขนาดของตัวอย่าง

ขนาดตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นอาจต้องใช้คนมากขึ้นในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

3. ความซับซ้อนของวิธีการวิจัย

วิธีการวิจัยที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การทดลองหรือการสำรวจขนาดใหญ่ อาจต้องใช้คนจำนวนมากในการดำเนินการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล

4. ระดับความเชี่ยวชาญและทักษะที่จำเป็น

ระดับความเชี่ยวชาญและทักษะที่จำเป็นสำหรับการวิจัยอาจส่งผลต่อจำนวนคนที่จำเป็นในการทำโครงการให้สำเร็จ

โดยรวมแล้ว จำนวนผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการวิทยานิพนธ์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะและข้อกำหนดของการวิจัย และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทีมวิจัยที่จะต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบเมื่อวางแผนการวิจัย

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ปัญหาการทำวิจัยที่พบเจอบ่อยที่สุด

ภาพจาก www.pixabay.com

1. ขาดเงินทุน

การขาดเงินทุนอาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักวิจัย เนื่องจากอาจจำกัดความสามารถในการทำวิจัยหรือการเข้าถึงทรัพยากรและอุปกรณ์ที่จำเป็น

2. การเข้าถึงผู้เข้าร่วม

การเข้าถึงผู้เข้าร่วมอาจเป็นปัญหาได้ หากเป็นการยากที่จะรับผู้เข้าร่วมในจำนวนที่เพียงพอ หรือหากมีปัญหาเกี่ยวกับการรักษาผู้เข้าร่วม

3. ประเด็นด้านจริยธรรม

นักวิจัยอาจพบปัญหาด้านจริยธรรมเมื่อทำการวิจัย รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าว การรักษาความลับ และการคุ้มครองกลุ่มประชากรที่เปราะบาง

4. การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

นักวิจัยอาจประสบปัญหาเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล เช่น ปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพหรือความน่าเชื่อถือของข้อมูล หรือความยุ่งยากในการวิเคราะห์ข้อมูล

5. ข้อจำกัดด้านเวลา

นักวิจัยอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านเวลาเนื่องจากกำหนดเวลาหรือภาระผูกพันอื่นๆ ซึ่งอาจจำกัดขอบเขตและความลึกของการวิจัย

6. ความเอนเอียงในการตีพิมพ์

อาจมีอคติในกระบวนการตีพิมพ์ โดยผลการวิจัยบางชิ้นมีแนวโน้มที่จะได้รับการตีพิมพ์มากกว่าผลการวิจัยชิ้นอื่นๆ ซึ่งอาจจำกัดความสามารถทั่วไปของผลการวิจัย

โดยรวมแล้ว มีปัญหาที่อาจเกิดขึ้นมากมายที่นักวิจัยอาจพบเมื่อทำการวิจัย และเป็นสิ่งสำคัญที่นักวิจัยจะต้องตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้และวางแผนสำหรับปัญหาเหล่านี้ให้มากที่สุด

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

ตัวอย่างงานวิจัยเชิงพรรณนา

ภาพจาก www.pixabay.com

เอกสารการวิจัยเชิงพรรณนาเป็นเอกสารประเภทหนึ่งที่มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายปรากฏการณ์หรือกลุ่มบุคคล เอกสารการวิจัยเชิงพรรณนามักอาศัยวิธีการสังเกตหรือการสำรวจเพื่อรวบรวมข้อมูลและอธิบายลักษณะของปรากฏการณ์หรือกลุ่มที่กำลังศึกษา

ตัวอย่างงานวิจัยเชิงพรรณนา:

ชื่อเรื่อง: คำอธิบายรูปแบบการเลี้ยงดูบุตรและผลกระทบต่อพัฒนาการเด็ก

บทคัดย่อ: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายและวิเคราะห์รูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ตัวอย่างและผลกระทบที่มีต่อพัฒนาการของเด็ก เก็บข้อมูลโดยการสำรวจผู้ปกครองจำนวน 200 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยระบุว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ในกลุ่มตัวอย่างใช้รูปแบบการเลี้ยงดูแบบเผด็จการ ซึ่งสัมพันธ์กับผลลัพธ์เชิงบวกของเด็ก เช่น ความภูมิใจในตนเองสูงและความสามารถทางสังคม ในทางตรงกันข้าม รูปแบบการเลี้ยงดูแบบเผด็จการและการอนุญาตมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์เชิงลบของเด็ก เช่น ความนับถือตนเองต่ำและความสามารถทางสังคม ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการเลี้ยงดูเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเด็ก และการใช้รูปแบบเผด็จการอาจเป็นประโยชน์ต่อเด็ก

บทนำ: รูปแบบการเลี้ยงดูเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเด็ก และวิธีที่พ่อแม่มีปฏิสัมพันธ์และเลี้ยงดูลูกสามารถมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อพัฒนาการทางสังคม อารมณ์ และสติปัญญา การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายและวิเคราะห์รูปแบบการเลี้ยงดูของผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างและผลกระทบที่มีต่อพัฒนาการของเด็ก

วิธีการ: กลุ่มตัวอย่างจากผู้ปกครอง 200 คนได้รับคัดเลือกสำหรับการศึกษานี้ และรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสำรวจที่รวมคำถามเกี่ยวกับรูปแบบการเลี้ยงดูบุตรและผลลัพธ์ของเด็ก รูปแบบการเลี้ยงดูของผู้เข้าร่วมถูกจัดประเภทเป็นเผด็จการ เผด็จการ หรืออนุญาตตามการตอบคำถามแบบสำรวจ ผลลัพธ์ของเด็กของผู้เข้าร่วมถูกวัดโดยใช้มาตรการมาตรฐานของความนับถือตนเองและความสามารถทางสังคม ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล

ผลลัพธ์: ผลการศึกษาระบุว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ในกลุ่มตัวอย่างใช้รูปแบบการเลี้ยงดูแบบเผด็จการ (65%) การเลี้ยงดูแบบเผด็จการมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์เชิงบวกของเด็ก เช่น ความภูมิใจในตนเองสูง (Mean = 3.5, SD = 0.6) และความสามารถทางสังคม (Mean = 4.0, SD = 0.7) ในทางตรงกันข้าม การเลี้ยงดูแบบเผด็จการมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์เชิงลบของเด็ก เช่น ความนับถือตนเองต่ำ (Mean = 2.5, SD = 0.5) และความสามารถทางสังคมต่ำ (Mean = 3.0, SD = 0.6) การเลี้ยงดูแบบตามใจยังสัมพันธ์กับผลลัพธ์เชิงลบของเด็ก เช่น ความนับถือตนเองต่ำ

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

5 ปัญหาของการจ้างทำวิจัย

การว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการวิจัยเป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์สำหรับองค์กรหรือบุคคลที่ไม่มีทรัพยากรหรือความเชี่ยวชาญที่จำเป็นในการดำเนินการวิจัยภายในองค์กร อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับการวิจัยภายนอกที่ควรพิจารณา ปัญหาบางประการของการจ้างทำการวิจัย ได้แก่:

1. ขาดการควบคุม

การว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการวิจัยอาจส่งผลให้กระบวนการวิจัยขาดการควบคุม เนื่องจากองค์กรหรือบุคคลอาจไม่มีการควบคุมดูแลในระดับเดียวกับที่พวกเขาทำหากการวิจัยดำเนินการภายในองค์กร

2. ข้อกังวลด้านคุณภาพ

อาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของงานวิจัยที่ดำเนินการโดยผู้จำหน่ายภายนอก เนื่องจากผู้จำหน่ายอาจไม่มีความเชี่ยวชาญในระดับเดียวกันหรือมีความมุ่งมั่นในการวิจัยเหมือนกับทีมงานภายในองค์กร

3. ปัญหาการรักษาความลับ

อาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับการรักษาความลับและการปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเมื่อจ้างงานวิจัยภายนอก เนื่องจากผู้ขายอาจไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับเดียวกับองค์กรหรือบุคคล

4. ค่าใช้จ่าย

การจ้างบุคคลภายนอกทำการวิจัยอาจมีราคาแพงกว่าการทำวิจัยภายในองค์กร เนื่องจากองค์กรหรือบุคคลจะต้องจ่ายเงินสำหรับบริการของผู้ขาย

5. ปัญหาด้านการสื่อสาร

อาจมีปัญหาด้านการสื่อสารเมื่อจ้างงานวิจัยภายนอก เนื่องจากองค์กรหรือบุคคลอาจไม่มีสิทธิ์เข้าถึงทีมวิจัยในระดับเดียวกับที่พวกเขาต้องการหากทำการวิจัยภายในองค์กร

โดยรวมแล้ว การเอาท์ซอร์สการวิจัยอาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์ แต่ก็มีปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเช่นกันที่ควรพิจารณา เช่น การขาดการควบคุม ความกังวลด้านคุณภาพ ปัญหาการรักษาความลับ ค่าใช้จ่าย และปัญหาด้านการสื่อสาร

ภาพจาก www.pixabay.com

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

เทคนิคการคัดเลือกผู้ช่วยวิจัยที่มีคุณภาพให้ทำวิจัยสำเร็จโดยง่าย

ภาพจาก www.pixabay.com

การคัดเลือกผู้ช่วยวิจัยที่มีคุณภาพเป็นขั้นตอนสำคัญในการดำเนินการวิจัย เนื่องจากผู้ช่วยวิจัยสามารถมีบทบาทสำคัญในกระบวนการวิจัย เทคนิคบางประการที่อาจเป็นประโยชน์ในการเลือกผู้ช่วยวิจัยที่มีคุณภาพ ได้แก่:


1. ระบุทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็น

การระบุทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้ช่วยวิจัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการเลือกผู้ช่วยวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้แน่ใจว่าบุคคลนั้นมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการสนับสนุนการวิจัย ทักษะและคุณสมบัติบางอย่างที่อาจมีความสำคัญสำหรับผู้ช่วยวิจัย ได้แก่ :

  • วุฒิการศึกษา: ผู้ช่วยวิจัยควรมีพื้นฐานการศึกษาที่ดี มีวุฒิการศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องหรือหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
  • ประสบการณ์การวิจัย: ผู้ช่วยวิจัยควรมีประสบการณ์เกี่ยวกับการวิจัยมาบ้าง ไม่ว่าจะผ่านหลักสูตรหรือประสบการณ์การวิจัยก่อนหน้านี้
  • ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล: ผู้ช่วยวิจัยควรมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดี รวมถึงความสามารถในการรวบรวม จัดระเบียบ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการทางสถิติที่เหมาะสม
  • ทักษะการเขียน: ผู้ช่วยวิจัยควรมีทักษะการเขียนที่ดี รวมถึงความสามารถในการเขียนอย่างชัดเจนและรัดกุม และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การอ้างอิงและการจัดรูปแบบที่เหมาะสม
  • ใส่ใจในรายละเอียด: ผู้ช่วยวิจัยควรมีความใส่ใจในรายละเอียดอย่างมากและสามารถตรวจสอบและแก้ไขเอกสารได้อย่างรอบคอบ
  • ทักษะการจัดการเวลา: ผู้ช่วยวิจัยควรมีทักษะการจัดการเวลาที่แข็งแกร่งและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายในกำหนดเวลา
  • ทักษะการสื่อสาร: ผู้ช่วยวิจัยควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดี รวมถึงความสามารถในการทำงานเป็นทีมและสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานและที่ปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยรวมแล้ว การระบุทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้ช่วยวิจัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการเลือกผู้ช่วยวิจัย และทักษะและคุณสมบัติเหล่านี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าบุคคลนั้นเหมาะสมกับโครงการวิจัย


2. รับสมัครทีมที่หลากหลาย

พิจารณาการสรรหาทีมผู้ช่วยวิจัยที่หลากหลาย รวมถึงบุคคลที่มีภูมิหลัง ประสบการณ์ และมุมมองที่แตกต่างกัน

การสรรหาทีมที่หลากหลายเพื่อช่วยในการวิจัยอาจมีประโยชน์หลายประการ ทีมงานที่หลากหลายสามารถนำมุมมอง ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่หลากหลายมาสู่กระบวนการวิจัย ซึ่งจะนำไปสู่การวิจัยที่เป็นนวัตกรรมและครอบคลุมมากขึ้น เทคนิคบางประการที่อาจเป็นประโยชน์ในการสรรหาทีมงานที่หลากหลาย ได้แก่:

  • ระบุความต้องการความหลากหลาย: ระบุความต้องการความหลากหลายในทีมวิจัยของคุณ และพิจารณาว่าความหลากหลายสามารถนำไปสู่ความสำเร็จของการวิจัยได้อย่างไร
  • ค้นหาผู้สมัครที่หลากหลาย: ค้นหาผู้สมัครที่หลากหลายผ่านช่องทางที่หลากหลาย รวมถึงองค์กรวิชาชีพ กระดานสมัครงาน และโซเชียลมีเดีย
  • สนับสนุนการสมัครจากผู้สมัครที่หลากหลาย: สนับสนุนการสมัครจากผู้สมัครที่หลากหลายผ่านการเข้าถึงเป้าหมายและภาษาที่ครอบคลุมในประกาศรับสมัครงาน
  • ตรวจสอบเรซูเม่และจดหมายปะหน้า: ตรวจสอบเรซูเม่และจดหมายปะหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อระบุผู้สมัครที่หลากหลายซึ่งมีทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็น
  • ดำเนินการสัมภาษณ์: ดำเนินการสัมภาษณ์เพื่อประเมินความเหมาะสมของผู้สมัครกับทีมวิจัยและเพื่อพิจารณาความเหมาะสมสำหรับโครงการวิจัย
  • ให้การสนับสนุนและทรัพยากร: ให้การสนับสนุนและทรัพยากรเพื่อช่วยให้สมาชิกในทีมที่หลากหลายประสบความสำเร็จในบทบาทของพวกเขา รวมถึงการฝึกอบรมและโอกาสในการพัฒนาวิชาชีพ

โดยรวมแล้ว การสรรหาทีมที่มีความหลากหลายอาจเป็นประโยชน์ในหลายๆ ด้าน และเทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าคุณมีทีมที่มีความหลากหลายและแสดงถึงมุมมองและประสบการณ์ที่หลากหลาย


3. ตรวจสอบเรซูเม่และจดหมายปะหน้า

ตรวจสอบเรซูเม่และจดหมายปะหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อระบุผู้สมัครที่มีทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็น

การตรวจสอบเรซูเม่และจดหมายปะหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญในการคัดเลือกผู้ช่วยวิจัย เนื่องจากสามารถช่วยระบุผู้สมัครที่มีทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับโครงการวิจัย เทคนิคบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์เมื่อตรวจสอบเรซูเม่และจดหมายปะหน้ารวมถึง:

  • ตรวจสอบประกาศรับสมัครงาน: ตรวจสอบประกาศรับสมัครงานอย่างรอบคอบเพื่อทำความเข้าใจข้อกำหนดและคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับบทบาทผู้ช่วยวิจัย
  • มองหาประสบการณ์และการศึกษาที่เกี่ยวข้อง: มองหาผู้สมัครที่มีประสบการณ์และการศึกษาที่เกี่ยวข้อง เช่น หลักสูตรหรือประสบการณ์การวิจัยในสาขาการวิจัย
  • พิจารณาทักษะและความสามารถ: พิจารณาทักษะและความสามารถของผู้สมัคร รวมถึงทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล ทักษะการเขียน และความใส่ใจในรายละเอียด
  • ทบทวนจดหมายปะหน้า: ทบทวนจดหมายปะหน้าเพื่อให้เข้าใจถึงแรงจูงใจของผู้สมัครและเหมาะสมกับโครงการวิจัย
  • ขอคำแนะนำ: ขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานหรือที่ปรึกษาที่เคยร่วมงานกับผู้ช่วยวิจัยที่มีศักยภาพ เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับทักษะและคุณสมบัติของผู้สมัคร

โดยรวมแล้ว การตรวจสอบเรซูเม่และจดหมายปะหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญในการคัดเลือกผู้ช่วยวิจัย และเทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าคุณระบุผู้สมัครที่เหมาะสมกับโครงการวิจัย


4. ดำเนินการสัมภาษณ์

ดำเนินการสัมภาษณ์เพื่อประเมินความเหมาะสมของผู้สมัครกับทีมวิจัยและเพื่อพิจารณาความเหมาะสมสำหรับโครงการวิจัย

การสัมภาษณ์เป็นขั้นตอนสำคัญในการคัดเลือกผู้ช่วยวิจัย เนื่องจากจะทำให้คุณสามารถประเมินความเหมาะสมของผู้สมัครกับทีมวิจัย และพิจารณาความเหมาะสมของพวกเขาสำหรับโครงการวิจัย เทคนิคบางประการที่อาจเป็นประโยชน์ในการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกผู้ช่วยวิจัย ได้แก่:

  • เตรียมรายการคำถาม: เตรียมรายการคำถามที่คุณต้องการถามผู้สมัคร และพิจารณาว่าคำตอบของพวกเขาสามารถช่วยในการตัดสินใจของคุณได้อย่างไร
  • กำหนดการสัมภาษณ์: กำหนดการสัมภาษณ์ตามเวลาที่สะดวกสำหรับทั้งคุณและผู้สมัคร และพิจารณาว่าการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวหรือแบบเสมือนจริงจะเหมาะสมที่สุด
  • สร้างบรรยากาศที่เป็นมืออาชีพและให้ความเคารพ: สร้างบรรยากาศที่เป็นมืออาชีพและให้ความเคารพสำหรับการสัมภาษณ์ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้สมัครรู้สึกสบายใจและสบายใจ
  • ถามคำถามปลายเปิด: ถามคำถามปลายเปิดที่ให้ผู้เข้าสอบอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์และคุณสมบัติของตน และกระตุ้นให้พวกเขาแบ่งปันความคิดและแนวคิดของตน
  • จดบันทึก: จดบันทึกระหว่างการสัมภาษณ์เพื่อช่วยให้คุณจดจำคำตอบของผู้สมัครและเพื่อช่วยในการตัดสินใจของคุณ
  • พิจารณาความเหมาะสมกับทีมวิจัย: พิจารณาความเหมาะสมของผู้สมัครกับทีมวิจัย และพิจารณาว่าพวกเขาจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในฐานะส่วนหนึ่งของทีมหรือไม่

โดยรวมแล้ว การสัมภาษณ์เป็นขั้นตอนสำคัญในการคัดเลือกผู้ช่วยวิจัย และเทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าคุณประเมินความเหมาะสมของผู้สมัครกับทีมวิจัยและทำการตัดสินใจอย่างรอบรู้


5. ขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานหรือที่ปรึกษา

ขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานหรือที่ปรึกษาที่เคยร่วมงานกับผู้ช่วยวิจัยที่มีศักยภาพ เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับทักษะและคุณสมบัติของผู้สมัคร

การขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานหรือที่ปรึกษาอาจเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์เมื่อทำการวิจัย เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำอันมีค่าตามความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในสาขานั้น เทคนิคบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์เมื่อขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานหรือที่ปรึกษา ได้แก่:

  • ระบุผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาที่เกี่ยวข้อง: ระบุผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้ในสาขาการวิจัยที่คุณสนใจ และพิจารณาติดต่อพวกเขาเพื่อขอคำแนะนำและคำแนะนำ
  • เตรียมรายการคำถาม: เตรียมรายการคำถามที่คุณต้องการถามผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา และพิจารณาว่าข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำของพวกเขาสามารถช่วยสนับสนุนการวิจัยของคุณได้อย่างไร
  • กำหนดการประชุมหรือการปรึกษาหารือ: กำหนดการประชุมหรือการปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา ทั้งแบบตัวต่อตัวหรือแบบเสมือนจริง เพื่อหารือเกี่ยวกับงานวิจัยของคุณและขอคำแนะนำจากพวกเขา
  • ให้ความเคารพและเป็นมืออาชีพ: แสดงความเคารพต่อความเชี่ยวชาญและเวลาของผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา และมีความเป็นมืออาชีพในการสื่อสารและการโต้ตอบของคุณ
  • จดบันทึกและติดตาม: จดบันทึกระหว่างการให้คำปรึกษาและติดตามคำแนะนำหรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา

โดยรวมแล้ว การขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานหรือที่ปรึกษาอาจเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์เมื่อทำการวิจัย และเทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าคุณได้รับข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำอันมีค่าจากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น


6. ให้การฝึกอบรมและการสนับสนุน

ให้การฝึกอบรมและการสนับสนุนแก่ผู้ช่วยวิจัยเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการสนับสนุนการวิจัย

การให้การฝึกอบรมและการสนับสนุนแก่ผู้ช่วยวิจัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับประกันความสำเร็จและความสำเร็จของโครงการวิจัย เทคนิคบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์เมื่อให้การฝึกอบรมและสนับสนุนผู้ช่วยวิจัย ได้แก่:

  • สื่อสารความคาดหวังอย่างชัดเจน: สื่อสารความคาดหวังของคุณที่มีต่อผู้ช่วยวิจัยอย่างชัดเจน รวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบภายในโครงการวิจัย
  • ให้การปฐมนิเทศ: ให้การปฐมนิเทศโครงการวิจัยและทีมวิจัย รวมถึงภาพรวมของคำถามหรือปัญหาการวิจัย การออกแบบการวิจัย และวิธีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
  • เสนอโอกาสการฝึกอบรมและการพัฒนาวิชาชีพ: เสนอโอกาสการฝึกอบรมและการพัฒนาวิชาชีพแก่ผู้ช่วยวิจัยเพื่อช่วยพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการวิจัย
  • ให้การสนับสนุนและการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง: ให้การสนับสนุนและการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องแก่ผู้ช่วยวิจัย รวมถึงการเช็คอินและข้อเสนอแนะเป็นประจำเพื่อช่วยให้พวกเขาอยู่ในแนวทางและจัดการกับความท้าทายหรือข้อกังวลใดๆ
  • สนับสนุนการทำงานร่วมกันและการทำงานเป็นทีม: สนับสนุนการทำงานร่วมกันและการทำงานเป็นทีมระหว่างทีมวิจัย และเปิดโอกาสให้ผู้ช่วยวิจัยทำงานร่วมกันและแบ่งปันแนวคิดและข้อมูลเชิงลึก
  • ยกย่องและให้รางวัลแก่ผลงาน: ยกย่องและให้รางวัลแก่ผู้ช่วยวิจัย และพิจารณารวมพวกเขาเป็นผู้เขียนร่วมในสิ่งพิมพ์หรืองานนำเสนอตามระดับของผลงานในการวิจัย

โดยรวมแล้ว การให้การฝึกอบรมและการสนับสนุนแก่ผู้ช่วยวิจัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับประกันความสำเร็จและความสำเร็จของโครงการวิจัย และเทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าผู้ช่วยวิจัยมีทักษะที่จำเป็นและการสนับสนุนเพื่อสนับสนุนการวิจัย

สรุปโดยรวมแล้ว การเลือกผู้ช่วยวิจัยที่มีคุณภาพเป็นขั้นตอนสำคัญในการดำเนินการวิจัย และเทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าคุณมีทีมงานที่มีทักษะและมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมีส่วนสนับสนุนความสำเร็จของโครงการวิจัย


ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

เทคนิคการตั้งหัวข้อวิจัยให้ประสบความสำเร็จ

ภาพจาก www.pixabay.com

เมื่อตั้งหัวข้อวิจัย สิ่งสำคัญคือต้องเลือกหัวข้อที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้ในการศึกษา เทคนิคบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์เมื่อตั้งหัวข้อวิจัย ได้แก่:

1. ระบุความสนใจและเป้าหมายของคุณ:

พิจารณาสิ่งที่คุณสนใจและสิ่งที่คุณหวังว่าจะได้รับจากการวิจัยของคุณ วิธีนี้สามารถช่วยแนะนำการเลือกหัวข้อของคุณและทำให้แน่ใจว่าคุณเลือกหัวข้อที่มีความหมายและเกี่ยวข้องกับคุณ

การระบุความสนใจและเป้าหมายของคุณเป็นขั้นตอนสำคัญในการกำหนดหัวข้อการวิจัย ความสนใจและเป้าหมายของคุณสามารถช่วยแนะนำการเลือกหัวข้อของคุณและทำให้แน่ใจว่าคุณเลือกหัวข้อที่มีความหมายและเกี่ยวข้องกับคุณ

ในการระบุความสนใจและเป้าหมายของคุณ คุณสามารถพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

  • คุณหลงใหลเกี่ยวกับอะไร? ลองนึกถึงสิ่งที่คุณสนใจและหัวข้อที่คุณชอบเรียนรู้ สิ่งนี้สามารถช่วยให้ตัวเลือกการวิจัยของคุณแคบลงและระบุหัวข้อที่เป็นไปได้ซึ่งคุณจะได้รับแรงจูงใจในการติดตาม
  • คุณหวังว่าจะบรรลุผลงานวิจัยของคุณอย่างไร พิจารณาสิ่งที่คุณหวังว่าจะทำให้สำเร็จด้วยการวิจัยของคุณ และการวิจัยของคุณจะช่วยสนับสนุนสาขาของคุณหรือสร้างความแตกต่างในโลกได้อย่างไร สิ่งนี้สามารถช่วยเน้นการวิจัยของคุณและเลือกหัวข้อที่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ
  • เป้าหมายในอาชีพของคุณคืออะไร? ลองนึกถึงวิธีที่งานวิจัยของคุณจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางอาชีพในระยะยาว และเลือกหัวข้อที่สอดคล้องกับแรงบันดาลใจในอาชีพของคุณ
  • ค่านิยมส่วนตัวของคุณคืออะไร? พิจารณาว่าค่านิยมหรือสาเหตุใดที่คุณเชื่อ และพิจารณาว่างานวิจัยของคุณสามารถสนับสนุนหรือส่งเสริมค่านิยมหรือสาเหตุเหล่านี้ได้หรือไม่

โดยรวมแล้ว การระบุความสนใจและเป้าหมายของคุณสามารถช่วยให้คุณเลือกหัวข้อการวิจัยที่มีความหมายและให้รางวัล และสอดคล้องกับเป้าหมายส่วนตัวและอาชีพของคุณ

2. กำหนดขอบเขตและจุดเน้นของการวิจัยของคุณ:

กำหนดลักษณะเฉพาะของหัวข้อที่คุณต้องการศึกษา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าหัวข้อนั้นแคบและจัดการได้

การกำหนดขอบเขตและจุดเน้นของการวิจัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการกำหนดหัวข้อการวิจัย ขอบเขตของการวิจัยของคุณหมายถึงขอบเขตโดยรวมของหัวข้อที่คุณจะศึกษา ในขณะที่จุดเน้นของการวิจัยของคุณหมายถึงลักษณะเฉพาะของหัวข้อที่คุณจะตรวจสอบ

ในการกำหนดขอบเขตและจุดเน้นของการวิจัย คุณสามารถพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

  • กำหนดคำถามหรือปัญหาการวิจัยของคุณ: กำหนดคำถามหรือปัญหาการวิจัยที่คุณต้องการระบุให้ชัดเจน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำถามหรือปัญหานั้นเฉพาะเจาะจงและมุ่งเน้น สิ่งนี้จะช่วยเป็นแนวทางในการค้นคว้าของคุณและทำให้แน่ใจว่าคุณอยู่ในแนวทาง
  • ระบุวัตถุประสงค์การวิจัยของคุณ: กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยของคุณให้ชัดเจน ซึ่งควรเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ บรรลุผล เกี่ยวข้อง และมีขอบเขต (SMART) วัตถุประสงค์การวิจัยของคุณควรระบุสิ่งที่คุณหวังว่าจะบรรลุผลสำเร็จจากการวิจัยของคุณ และช่วยแนะนำความพยายามในการวิจัยของคุณ
  • พิจารณาขอบเขตของหัวข้อ: พิจารณาขอบเขตโดยรวมของหัวข้อที่คุณกำลังศึกษา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถจัดการได้และมีความเป็นไปได้ที่จะศึกษาภายใต้ข้อจำกัดของโครงการวิจัยของคุณ
  • กำหนดจุดเน้นของการวิจัยของคุณ: กำหนดลักษณะเฉพาะของหัวข้อที่คุณต้องการศึกษา และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันแคบและเน้น สิ่งนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าการวิจัยของคุณสามารถจัดการได้และบรรลุผลสำเร็จ

โดยรวมแล้ว การกำหนดขอบเขตและจุดเน้นของการวิจัยสามารถช่วยให้แน่ใจว่าการวิจัยของคุณมีความชัดเจน มุ่งเน้น และบรรลุผลได้ และเป็นการตอบคำถามหรือปัญหาการวิจัยเฉพาะเจาะจงอย่างมีความหมาย

3. พิจารณาความเป็นไปได้ของการวิจัย:

พิจารณาทรัพยากรและเวลาที่คุณมี และเลือกหัวข้อที่เป็นไปได้ในการศึกษาภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้

พิจารณาความเป็นไปได้ของการวิจัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการกำหนดหัวข้อการวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการวิจัยเป็นจริงและบรรลุผลได้ภายในข้อจำกัดของทรัพยากรและเวลาของคุณ

ในการพิจารณาความเป็นไปได้ของการวิจัย คุณสามารถพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

  • ประเมินทรัพยากรของคุณ: พิจารณาทรัพยากรที่คุณมี รวมถึงเวลา เงินทุน อุปกรณ์ และทรัพยากรอื่นๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำการวิจัยให้เสร็จสิ้น และการวิจัยมีความเป็นไปได้ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้
  • พิจารณาความเป็นไปได้ของคำถามหรือปัญหาการวิจัย: ประเมินความเป็นไปได้ของคำถามหรือปัญหาการวิจัย และพิจารณาว่าเป็นไปได้จริงและบรรลุผลตามทรัพยากรและเวลาของคุณหรือไม่
  • พิจารณาความเป็นไปได้ของการออกแบบการวิจัย: พิจารณาความเป็นไปได้ของการออกแบบการวิจัย และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเหมาะสมและบรรลุผลตามทรัพยากรและเวลาของคุณ
  • ทบทวนวรรณกรรม: ทบทวนวรรณกรรมที่มีอยู่ในสาขาของคุณเพื่อทำความเข้าใจสถานะปัจจุบันของการวิจัย และระบุความท้าทายหรือข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นไปได้ของการวิจัยของคุณ
  • ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา: ขอคำแนะนำและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาในสาขาของคุณ เนื่องจากพวกเขาสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการวิจัยของคุณ

โดยรวมแล้ว การพิจารณาความเป็นไปได้ของการวิจัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการกำหนดหัวข้อการวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการวิจัยนั้นเป็นจริงและบรรลุผลสำเร็จได้ และสามารถทำให้เสร็จสิ้นได้ภายในข้อจำกัดของทรัพยากรและเวลาของคุณ

4. มองหาช่องว่างในการวิจัยที่มีอยู่:

ระบุส่วนที่ขาดการวิจัยหรือการวิจัยในปัจจุบันมีจำกัด และพิจารณาว่าการวิจัยของคุณสามารถเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ได้หรือไม่

การมองหาช่องว่างในการวิจัยที่มีอยู่เป็นขั้นตอนสำคัญในการกำหนดหัวข้อการวิจัย เนื่องจากสามารถช่วยระบุส่วนที่ขาดการวิจัยหรือการวิจัยในปัจจุบันมีจำกัด สิ่งนี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่างานวิจัยของคุณมีส่วนสนับสนุนที่มีความหมายในสาขานี้และเติมเต็มช่องว่างที่สำคัญในความเข้าใจของเรา

หากต้องการค้นหาช่องว่างในการวิจัยที่มีอยู่ คุณสามารถพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

  • ทบทวนวรรณกรรม: ทบทวนวรรณกรรมที่มีอยู่ในสาขาของคุณเพื่อทำความเข้าใจสถานะปัจจุบันของการวิจัยและระบุพื้นที่ที่การวิจัยยังขาดอยู่หรือการวิจัยในปัจจุบันมีจำกัด
  • ระบุคำถามหรือปัญหาการวิจัยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข: มองหาคำถามหรือปัญหาการวิจัยที่ยังไม่ได้รับการกล่าวถึงอย่างครบถ้วนในเอกสาร และพิจารณาว่างานวิจัยของคุณอาจช่วยให้เราเข้าใจประเด็นเหล่านี้ได้หรือไม่
  • พิจารณานัยยะของงานวิจัยของคุณ: พิจารณานัยยะของงานวิจัยของคุณ และดูว่างานวิจัยนั้นสามารถช่วยให้เราเข้าใจหัวข้อหรือสร้างความแตกต่างในโลกได้อย่างไร
  • ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา: ขอคำแนะนำและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาในสาขาของคุณ เนื่องจากพวกเขาสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่มีค่าเกี่ยวกับช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นในการวิจัยที่มีอยู่

โดยรวมแล้ว การมองหาช่องว่างในการวิจัยที่มีอยู่สามารถช่วยให้แน่ใจว่างานวิจัยของคุณมีส่วนสนับสนุนที่มีความหมายในสาขานี้ และเติมเต็มช่องว่างที่สำคัญในความเข้าใจของเรา

5. ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา:

ขอคำแนะนำและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาในสาขาของคุณ เนื่องจากพวกเขาสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและแนวทางที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับหัวข้อการวิจัยที่เป็นไปได้

การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาอาจเป็นเทคนิคที่มีคุณค่าเมื่อกำหนดหัวข้อการวิจัย เนื่องจากพวกเขาสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำอันมีค่าตามความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในสาขานั้น เทคนิคบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์เมื่อปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา ได้แก่:

  • ระบุผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาที่เกี่ยวข้อง: ระบุผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้ในสาขาการวิจัยที่คุณสนใจ และพิจารณาติดต่อพวกเขาเพื่อขอคำแนะนำและคำแนะนำ
  • เตรียมรายการคำถาม: เตรียมรายการคำถามที่คุณต้องการถามผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา และพิจารณาว่าข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำของพวกเขาสามารถช่วยสนับสนุนการวิจัยของคุณได้อย่างไร
  • กำหนดการประชุมหรือการปรึกษาหารือ: กำหนดการประชุมหรือการปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา ทั้งแบบตัวต่อตัวหรือแบบเสมือนจริง เพื่อหารือเกี่ยวกับงานวิจัยของคุณและขอคำแนะนำจากพวกเขา
  • ให้ความเคารพและเป็นมืออาชีพ: แสดงความเคารพต่อความเชี่ยวชาญและเวลาของผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา และมีความเป็นมืออาชีพในการสื่อสารและการโต้ตอบของคุณ
  • จดบันทึกและติดตาม: จดบันทึกระหว่างการให้คำปรึกษาและติดตามคำแนะนำหรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา

โดยรวมแล้ว การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาอาจเป็นเทคนิคที่มีคุณค่าเมื่อกำหนดหัวข้อการวิจัย เนื่องจากพวกเขาสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำอันมีค่าตามความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในสาขานั้น

6. ทบทวนวรรณกรรม:

ทบทวนวรรณกรรมที่มีอยู่ในสาขาของคุณเพื่อทำความเข้าใจสถานะปัจจุบันของการวิจัยและระบุหัวข้อที่เป็นไปได้สำหรับการสอบสวน

การทบทวนวรรณกรรมเป็นการประเมินที่สำคัญของงานวิจัยที่มีอยู่ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการวิจัย เนื่องจากช่วยในการระบุสิ่งที่ทราบอยู่แล้วเกี่ยวกับหัวข้อและช่องว่างในความรู้ที่มีอยู่ เทคนิคบางประการที่อาจเป็นประโยชน์เมื่อทำการทบทวนวรรณกรรม ได้แก่:

  • กำหนดคำถามหรือปัญหาการวิจัยของคุณ: กำหนดคำถามหรือปัญหาการวิจัยที่คุณต้องการระบุให้ชัดเจน และใช้เป็นแนวทางในการค้นหาวรรณกรรมของคุณ
  • ระบุแหล่งที่มาที่เกี่ยวข้อง: ใช้ฐานข้อมูล เครื่องมือค้นหา และทรัพยากรอื่นๆ เพื่อระบุแหล่งที่มาที่เกี่ยวข้องซึ่งเกี่ยวข้องกับคำถามหรือปัญหาการวิจัยของคุณ
  • ใช้วิธีการที่เป็นระบบ: ใช้วิธีการที่เป็นระบบ เช่น แนวทาง PRISMA (รายการรายงานที่ต้องการสำหรับการทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์เมตา) เพื่อให้แน่ใจว่าการทบทวนวรรณกรรมของคุณมีความครอบคลุมและเป็นกลาง
  • อ่านและวิเคราะห์วรรณกรรม: อ่านและวิเคราะห์วรรณกรรมอย่างรอบคอบ และจดบันทึกโดยละเอียดเกี่ยวกับข้อค้นพบหลัก ข้อโต้แย้ง และข้อจำกัดของการศึกษาแต่ละเรื่อง
  • ประเมินคุณภาพของวรรณกรรม: ประเมินคุณภาพของวรรณกรรม และพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การออกแบบการศึกษา ขนาดตัวอย่าง และการวิเคราะห์ทางสถิติที่ใช้
  • สังเคราะห์วรรณกรรม: สังเคราะห์วรรณกรรมโดยจัดระเบียบและสรุปผลการค้นพบที่สำคัญ และระบุแนวโน้มหรือรูปแบบในการวิจัย
  • ระบุช่องว่างในวรรณกรรม: ระบุช่องว่างในวรรณกรรมและพิจารณาว่างานวิจัยของคุณสามารถเติมช่องว่างเหล่านี้หรือช่วยให้เราเข้าใจหัวข้อได้อย่างไร

โดยรวมแล้ว การทบทวนวรรณกรรมเป็นการประเมินที่สำคัญของงานวิจัยที่มีอยู่ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง และเทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าการทบทวนมีความครอบคลุม เป็นกลาง และมีความหมาย

7. มีความยืดหยุ่นและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง:

เปิดใจที่จะเปลี่ยนหัวข้อการวิจัยของคุณหากจำเป็น เนื่องจากความสนใจและเป้าหมายของคุณอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หรือคุณอาจพบกับความท้าทายที่คาดไม่ถึงในระหว่างกระบวนการวิจัย

  • มีแผนฉุกเฉิน: พิจารณาความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นหรือความพ่ายแพ้ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการวิจัย และมีแผนฉุกเฉินเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านั้น
  • เปิดใจให้แก้ไขคำถามหรือวัตถุประสงค์การวิจัยของคุณ เปิดใจให้แก้ไขคำถามหรือวัตถุประสงค์การวิจัยหากจำเป็น เนื่องจากความเข้าใจในหัวข้อหรือเป้าหมายการวิจัยของคุณอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
  • เต็มใจที่จะแก้ไขการออกแบบการวิจัยของคุณ: เต็มใจที่จะปรับเปลี่ยนการออกแบบการวิจัยของคุณหากจำเป็น เนื่องจากคุณอาจพบกับความท้าทายหรือข้อจำกัดที่คาดไม่ถึงซึ่งทำให้คุณต้องปรับเปลี่ยน
  • มีความยืดหยุ่นในวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลของคุณ: มีความยืดหยุ่นในวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลของคุณ และเปิดให้ใช้วิธีการหรือแนวทางที่หลากหลายหากจำเป็น
  • เปิดใจที่จะเปลี่ยนหัวข้อการวิจัยของคุณ: เปิดใจที่จะเปลี่ยนหัวข้อการวิจัยของคุณหากจำเป็น เนื่องจากความสนใจหรือเป้าหมายของคุณอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หรือคุณอาจพบกับความท้าทายที่คาดไม่ถึงในระหว่างกระบวนการวิจัย

โดยรวมแล้ว การมีความยืดหยุ่นและเปิดรับการเปลี่ยนแปลงเป็นเทคนิคที่สำคัญเมื่อทำการวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับความท้าทายที่ไม่คาดคิดหรือการเปลี่ยนแปลงในแผนการวิจัยของคุณ และทำให้มั่นใจได้ว่าการวิจัยของคุณมีความหมายและตรงประเด็น

สรุป กุญแจสำคัญคือการเลือกหัวข้อที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้ในการศึกษา และเปิดกว้างสำหรับการปรับโฟกัสการวิจัยของคุณตามความจำเป็น

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

การทำวิทยานิพนธ์ ไม่ยากอย่างที่คิด!

ภาพจาก canva.com

วิทยานิพนธ์ถือว่าเป็นขั้นสุดท้ายสำหรับนักศึกษาที่เตรียมจะจบปริญญาโท เพราะการทำวิทยานิพนธ์นั้น เป็นสิ่งแสดงถึงความสามารถในการนำมาปรับใช้ และนำความรู้ ความสามารถในสาขาวิชาที่นักศึกษาได้เรียนมานำเสนอให้กับผู้สนใจได้อ่าน และนำประโยชน์จากมันมาใช้ในการพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์กร พัฒนาหน่วยงาน หรือพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้น แต่หลายท่านยังคงคิดว่าวิทยานิพนธ์เป็นเรื่องที่ยาก ในบทความนี้จึงจะมาบอกเคล็ดลับในการทำวิทยานิพนธ์ที่ทุกท่านสามารถนำไปปรับใช้ในการทำวิทยานิพนธ์ของท่านได้ง่ายๆ มาฝากกัน ดังรายละเอียดตามนี้ค่ะ

1. การทำวิทยานิพนธ์ในแต่ละครั้งควรที่จะทำในหัวข้อที่ตนเองสนใจ

ในการเริ่มทำวิทยานิพนธ์ ควรศึกษาหัวข้อที่ผู้ทำวิทยานิพนธ์สนใจ เนื่องจากเรื่องที่ท่านสนใจ ท่านจะทำและศึกษาออกมาได้ดี เมื่อได้หัวข้อที่สนใจแล้ว ท่านควรที่จะมองหาอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ ที่เหมาะสมกับหัวข้อที่ท่านสนใจด้วย เพราะกุญแจที่สำคัญที่จะนำไปสู่วิทยานิพนธ์ ก็คือหัวข้อนั่นเอง หากตั้งชื่อหัวข้อไม่มีความโดดเด่นก็อาจจะทำให้ไม่มีผู้เปิดอ่านงานนั้นเลยก็ได้ นอกจากนั้นหัวข้อที่น่าสนใจจะต้องมีกฎดังนี้

-การตั้งชื่อหัวข้อให้น่าสนใจจะต้องมีการใช้คำที่กระชับ สามารถบอกกับผู้อ่านได้ทันที่ว่าเรื่องที่ทำจะกล่าวถึงเรื่องใดกันแน่ 

-หัวข้อต้องไม่ยาวหรือสั้นจนเกินไป หากสั้นหรือยาวจนเกินไปจะทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจว่าผู้เขียนต้องการที่จะสื่อถึงสิ่งใด

-อธิบายความหมายให้เข้าใจในประโยคเดียว โดยการฝึกเขียนหัวข้อเป็นประจำ พร้อมทั้งให้ผู้ที่มีประสบการณ์ช่วยวิจารณ์ หรือขัดเกลาหัวข้อบทความให้ดีขึ้น

-ควรเลี่ยงคำศัพท์แสลง พยายามไม่ใช้ศัพท์ที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ  เพราะเมื่อกาลเวลาผ่านไปคนรุ่นหลังที่จะเข้ามาเปิดอ่านวิทยานิพนธ์ของท่านอาจจะไม่เข้าใจภาษา ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าควรใช้คำศัพท์ในการตั้งหัวข้อง่ายๆ จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจทันที

ภาพจาก Pixabay

2. ผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอต่อหัวข้อที่เลือก

หัวข้อนี้จะเกี่ยวเนื่องจากหัวข้อแรก กล่าวคือ เมื่อผู้ทำวิทยานิพนธ์เลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ท่านสนใจ ซึ่งท่านจะต้องมีความรู้ และความเข้าใจในหัวข้อที่เลือก การที่จะทำให้วิทยานิพนธ์สำเร็จตามเป้าหมายได้นั้นท่านจะต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในสิ่งที่จะศึกษา จากนั้นทำการศึกษาต่อยอดสิ่งที่ท่านรู้ และค้นหาข้อมูลใหม่ มาต่อยอดความรู้เพื่อวิจัยและพัฒนาให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ดังนั้นท่านจึงต้องนำความรู้ที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน สืบหาค้นคว้าหรือมาจากประสบการณ์ โดยมีการรวบรวมเป็นข้อมูลทำการจดบันทึกเอาไว้ และสอดแทรกความสนใจในตัวของท่านเองที่ได้เล่าเรียน มาผสมผสานกับประสบการณ์ต่างๆ ทำให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างรรค์งานใหม่ๆ หรือจะเป็นการสนใจจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถ่ายทอดผ่านหนังสือหรือตำรา ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นการนำความเข้าใจและสิ่งที่ท่านสนใจมาใช้สนับสนุนประกอบกับงานวิทยานิพนธ์ที่กำลังจะทำ ซึ่งในทางตรงกันข้ามหากยังมีความรู้ความเข้าใจที่ไม่เพียงพอผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจจะนำใช้ประโยชน์จริงไม่ได้

3. การอ่านงานวิทยานิพนธ์ช่วยได้

การอ่านถือว่าเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่จะทำให้ผู้ทำวิทยานิพนธ์สามารนำมาต่อยอดในงานของตัวเองได้ โดยจะเริ่มต้นจากการเลือกเรื่องที่สนใจ แล้วอ่านจากผลสรุปของเล่มวิจัยดังกล่าว เพื่อจับใจความประเด็นหลักนำมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ แล้วจึงนำมาเรียบเรียงให้เป็นความเข้าใจใหม่ทำให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น  ซึ่งการอ่านวิทยานิพนธ์ควรที่จะอ่านจากหลายๆ แหล่งที่มา เช่น อ่านจากตำราทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่างๆ หรืออ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งควรอ่านให้หลากหลายเพราะความรู้ในวิชาหนึ่งอาจนำไปช่วยเสริมในอีกวิชาหนึ่งได้ ดังนั้นในขณะอ่านควรพยายามจับจุดสำคัญของเนื้อหาที่มีความสอดคล้องกับงานที่ต้องการทำ ดูรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อมาช่วยเสริมให้งานของท่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการอ่านงานเหล่านี้จะเป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่จะนำไปใช้ทำวิทยานิพนธ์ของท่านได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าการอ่านถือเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ และประสบการณ์ที่ได้รับจากการอ่านจะเป็นตัวช่วยให้งานของท่านผ่านไปได้ด้วยดี

4. สรุปเนื้อหาเรียบเรียงเนื้อหาใหม่

ในการสรุปเนื้อหาและเรียบเรียงเนื้อหาใหม่จากการอ่านงานวิทยานิพนธ์ของผู้ทำวิทยานิพนธ์ท่านอื่นนั้น ท่านจะต้องสรุปและเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ให้สอดคล้องกับหัวข้อของงานวิจัยของท่านด้วย  ซึ่งท่านจะต้องทบทวนเนื้อหาที่สรุปและเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ออกมาก่อน ว่ามีความกะทัดรัด ชัดเจน รัดกุม หรือไม่ นอกจากนั้นควรสรุปออกมาให้อ่านเข้าใจได้ง่าย และเรียงลำดับความหมายให้ถูกต้อง ซึ่งหัวใจของการสรุปถือว่าเป็นส่วนที่เขียนย้ำหรือเน้นประเด็นสำคัญของเนื้อหา หรือสรุปผลของการศึกษาค้นคว้า ถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญในการที่จะทำให้ผู้อ่านได้
จับประเด็นของเนื้อหาที่ได้อ่านไปทั้งหมด  
จึงอาจกล่าวได้ว่าบทสรุปจะช่วยให้ผู้อ่านมีการจดจ่อกับเนื้อหา และควรหลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านวิทยานิพนธ์ของท่านเกิดความรู้สึกที่ค้างคาใจ  และจะเป็นการเพิ่มงานให้ยาวโดยไม่จำเป็น

5. การนำเสนอวิทยานิพนธ์ให้น่าสนใจ

การนำเสนอวิทยานิพนธ์ หากเนื้อหาที่นำเสนอในวิทยานิพนธ์มีความกระชับ เข้าใจง่าย ตรงตามจุดมุ่งหมายที่ได้ตั้งไว้ จะทำให้งานวิทยานิพนธ์ของท่านมีความน่าสนใจมากขึ้น แต่กระนั้นผู้ทำวิทยานิพนธ์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาพูด ไม่ควรที่จะย่อหรือกล่าวเกินจริง มีกาารอ้างอิงถึงเอกสารให้ถูกต้องในทุกครั้ง และควรตรวจสอบความถูกต้องให้ละเอียดรอบครอบทุกครั้งอย่างเพียงพอเพื่อให้ได้งานวิทยานิพนธ์ที่มีคุณภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่าการนำเสนอถือว่าเป็นกระบวนการเพื่อนำความรู้ที่ได้มาผสมผสานกันระหว่างศิลปะทางการเขียนกับการแสดงข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบของการวิเคราะห์ข้อมูล และสามารถนำเสนอได้อย่างเหมาะสม เช่น ตาราง กราฟ และภาพประกอบ ก็จะสามารถทำให้ผลงานวิทยานิพนธ์ของท่านดูน่าสนใจมากขึ้น 

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นถือว่าเป็นเคล็ดลับในการนำไปปรับใช้ในการเขียนวิทยานิพนธ์ของท่าน หากท่านได้นำเคล็ดลับดังกล่าวในบทความไปใช้ จะทำให้งานวิทยานิพนธ์ของท่านนั้นมีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับทางวิชาการทำให้ผู้ที่จะทำการศึกษางานวิจัยของท่านหรือรูปแบบวิธีการทำไปต่อยอดเป็นงานวิจัยใหม่ๆ ขึ้นมา เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเรื่องใหม่ๆ ให้มีความก้าวหน้าในตนเอง องค์กร หน่วยงาน หรือธุรกิจให้ดีขึ้นต่อไป

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

การทำวิทยานิพนธ์คืออะไร ทำยากไหม มีขั้นตอนการทำอย่างไร?

วิทยานิพนธ์จบยากไหม? 

เนื้อหาประมาณไหน? 

สอบหัวข้อแล้วต้องเริ่มอย่างไร? 

เหลือเวลาแค่เดือนเดียวจะทำวิทยานิพนธ์ทันไหม? 

ตอนนี้เหมือนคนกำลังหลงทางกับการเรียงลำดับการทำ ใครพอจะช่วยแนะนำเราได้บ้าง?

ภาพจาก pexels.com

ใครเคยมีคำถามเหล่านี้อยู่ในหัวบ้าง คำถามดังกล่าวข้างต้นเป็นปัญหาที่นักศึกษาทุกคนต้องเจอเมื่อใกล้ถึงเวลาที่จะจบการศึกษา ซึ่งนั่นก็คือปัญหาในการทำวิทยานิพนธ์นั่นเอง ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าวิทยานิพนธ์คือ ผลงานทางวิชาการที่นำเสนออย่างเป็นระบบบนพื้นฐานจากการค้นคว้า และวิจัย เป็นสิ่งที่นักศึกษาทุกคนต้องทำ และคิดว่ายาก แต่หากว่านักศึกษาทำความเข้าในหลักการในการทำงานวิทยานิพนธ์ และรู้จักเทคนิคบ้าง ก็จะทำให้การทำวิทยานิพนธ์ที่คิดว่ายากกลับกลายไปง่ายทันที เนื่องจากมีกระบวนการคิดและวิธีทำวิทยานิพนธ์ที่ถูกต้อง ดังนั้นสำหรับการเริ่มต้นการทำวิทยานิพนธ์  ผู้เขียนบทความจึงจะมาบอกเคล็ดลับในขั้นตอนการทำวิทยานิพนธ์ที่ไม่ยากอย่างที่คิด  ถ้าท่านทำตามลำดับขั้นตอนตามบทความนี้

ขั้นตอนที่สำคัญของการทำวิทยานิพนธ์

1. การเลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์

ในการเลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์นักศึกษาควรเลือกหัวข้อที่ตนเองสนใจที่จะทำจริงๆ เนื่องจากเรื่องที่นักศึกษาสนใจ ท่านจะมีข้อมูลพื้นฐานความรู้เดิมในการแก้ไขปัญหาและตอบคำถามกับท่านอาจารย์ที่ปรึกษา ตอนสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์ นอกจากนั้นการเลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่นักศึกษาสนใจและถนัด ท่านจะสามารถวางแผนและต่อยอดงานวิทยานิพนธ์ต่อไปได้ดี 

ซึ่งเคล็ดลับในการเลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์ ผู้เขียนขอแนะนำ ดังนี้ 

1.1 ลองหาหัวข้อจากงานวิจัยก่อนหน้าที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับหัวข้อที่เราสนใจ  

1.2 ลองหาประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับหัวข้อวิทยานิพนธ์ของท่าน 

1.3 ลองอ่านหนังสือ วารสาร บทความ งานวิจัย และวิทยานิพนธ์ เพื่อเป็นตัวอย่าง และใช้เป็นแนวทางกำหนดประเด็นปัญหา 

1.4 ลองทำการสำรวจสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ๆ ตัว สำรวจปัญหาของอาชีพในท้องถิ่นที่เราอยู่ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง 

1.5 คำนึงถึงการเลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์ถึงความเหมาะสมในเรื่อง  ความปลอดภัย เวลา งบประมาณ และกำลังของตนว่าจะไม่กระทบต่อสิ่งเหล่านั้น 

1.6 เลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์จากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และงานนั้นต้องสามารถสร้างคุณค่าให้ตัวงานวิทยานิพนธ์ของท่านได้ด้วย

เมื่อท่านได้หัวข้อวิทยานิพนธ์ที่สนใจให้ทำการวางแผนขั้นตอนดำเนินการต่างๆ ไว้ล่วงหน้า แล้วค่อยๆ ทำการวางแผนการดำเนินการตามที่ไว้วางเป้าหมายไว้ ซึ่งการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ดีจะต้องเป็นหัวข้อที่มีประโยชน์ ทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ สามารถหาคำตอบได้จากวิธีทางวิทยาศาสตร์ หรือวิจัย สามารถตรวจสอบสมมติฐานเพื่อหาข้อสรุปได้ และไม่ควรที่จะกว้างเกินขอบเขตที่ตั้งเอาไว้ 

2. ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 

การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องถือว่าเป็นการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากประเด็นที่เราสนใจที่จะศึกษา หรือนำมาต่อยอดงานวิทยานิพนธ์ของท่านให้มีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องควรทำการศึกษางานวิจัยที่มีการศึกษามาแล้วไม่เกิน 5-10 ปี เนื่องจากโลกในยุคโลกาภิวัฒน์นั้นหมุนเวียนผันเปลี่ยนไปรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี ดังนั้นพฤติกรรม การทำงาน  วิถีชีวิต ความต้องการ จึงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน หากท่านทำผลงานวิทยาพนธ์ที่เกี่ยวกับการตลาด สังคม การปฏิบัติงาน พฤติกรรมการใช้ หรือแม้แต่ความต้องการ ท่านจึงควรใช้งานวิจัยในช่วงระหว่าง 5-10 ปี  เนื่องจากท่านสามารถนำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานของท่านมาหยิบยกหรือวิเคราะห์ พฤติกรรม และปัญหาต่างๆ ได้ เช่น ปัญหาการปฏิบัติใน 5 ปี ที่แล้ว กับปัญหาการทำงานใน 5 ปีปัจจุบัน อาจจะแตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เห็นได้ชัดเจนจากการเปลี่ยนของของเทคโนโลยีที่รวดเร็วขึ้น ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวอาจเป็นประเด็นที่ท่านสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบ หรือหยิบยกปัญหาต่างๆ มาวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ 

ซึ่งเคล็ดลับในการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  ผู้เขียนขอแนะนำ ดังนี้ 

2.1 ท่านควรรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับท่านไว้ให้มากที่สุด เพื่อศึกษาสภาพปัญหา หลักการ และเหตุผลของประเด็นปัญหาว่าปัจจุบันมีสภาพปัญหาอะไรที่น่าสนใจบ้าง 

2.2 ท่านควรสำรวจขอบเขตของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องว่ากว้างเพียงใด มีแนวคิด ทฤษฎีใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานวิทยานิพนธ์ของท่านมากน้อยเพียงใด 

2.3 ท่านควรสำรวจงานวิจัยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องว่ามีประเด็นปัญหามีจำนวนกี่เรื่อง และผลการวิจัยเป็นอย่างไร 

2.4 ท่านควรสำรวจเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องว่ามีกี่ชนิด เป็นลักษณะแบบใด 

2.5 ท่านควรสำรวจดูงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ผ่านมาว่ามีการใช้สถิติวิจัยใดบ้าง 

หลังจากได้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาแล้วท่านจะต้องทำการทบทวน และวิเคราะห์ความสอดคล้องข้อมูลที่ตรงกับหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ท่านศึกษา ซึ่งการวิเคราะห์ดังกล่าวจะทำให้ช่วยให้ท่านได้ทราบข้อมูลต่างๆ ที่เราจะต้องทำตั้งแต่ขั้นตอนแรกถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะเป็นขั้นตอนที่นานที่สุด เนื่องจากท่านจะต้องอ่านเอกสารที่เกี่ยวข้องตั้งแต่แรกจนจบทั้งหมด แล้วทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ จับประเด็นที่สำคัญออกมาเขียนเรียบเรียง โดยเลือกเอาเฉพาะข้อมูลที่สนใจจะศึกษาจริงๆ เท่านั้นมาเขียน  และทำการสรุปเชื่อมโยงข้อมูลในขั้นตอนสุดท้าย 

3. กำหนดขอบเขตเรื่องที่ศึกษา 

การกำหนดขอบเขตเรื่องที่ศึกษา ท่านต้องกำหนดถึงความต้องการของหัวข้อวิทยานิพนธ์ให้มีความชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในระหว่างการทำงาน นอกจากนั้นการกำหนดขอบเขตของงานควรขึ้นอยู่กับงบประมาณ และระยะเวลาในการทำวิทยานิพนธ์ที่ได้ทำการวางแผนไว้ด้วย  

ซึ่งเคล็ดลับในการกำหนดขอบเขตเรื่องที่ศึกษา ผู้เขียนขอแนะนำว่า ควรประกอบไปหัวข้อหลักๆ ดังนี้

3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา ท่านจะต้องแจกแจงรายละเอียดว่าเนื้อหาที่ท่านกำลังจะศึกษานั้นประกอบไปด้วยแนวคิดอะไรบ้าง และงานวิทยานิพนธ์ดังกล่าวเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพ ควรระบุให้ชัดเจน

3.2  ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ท่านจะต้องระบุว่าประชากรที่จะศึกษาเป็นใคร มีจำนวนเท่าไร อายุเท่าไร และสามารถคำนวณกลุ่มตัวอย่างได้เท่าไร ในขั้นตอนนี้ ท่านควรใส่อ้างอิงที่มาของประชากรด้วย เพื่อความน่าเชื่อถือของข้อมูล

3.3 ขอบเขตด้านพื้นที่ หัวข้อนี้ท่านจะต้องระบุว่าท่านจะศึกษากลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ไหน

3.4 ขอบเขตด้านระยะเวลา หัวข้อนี้เป็นหัวข้อสุดท้ายที่ควรจะกำหนด เพราะจะเป็นการบอกว่าท่านจะใช้ระยะเวลาทั้งสิ้นทั้งหมดกี่เดือนในการทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งหัวข้อนี้ควรอ้างอิงตามแผนที่ได้วางไว้ตั้งแต่แรก

4. กรอบแนวความคิด 

กรอบแนวความคิดจะถือว่าเป็นแผนที่ในการทำวิทยานิพนธ์ทั้งหมด เนื่องจากในกรอบแนวคิดจะเป็นผลที่แสดงให้เห็นว่าท่านใช้แนวคิด ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องอะไรในการนำมาหักล้างเหตุผล หรือแก้ไขปัญหางานวิทยานิพนธ์ของท่าน ซึ่งเส้นทางของกรอบแนวความคิดจะสร้างความชัดเจน เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การกำหนดกรอบทิศทางในการทำวิจัยที่เหมาะสม ซึ่งท่านจะนำมาสรุปเป็นแผนภูมิก็ได้ หรือจะนำมาเขียนเป็นแผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองตัวแปรออกมาเป็นกรอบแนวคิดก็ได้่

ซึ่งเคล็ดลับในการเขียนกรอบแนวความคิด ผู้เขียนขอแนะนำ ดังนี้ 

4.1 กรอบแนวความคิดต้องประกอบไปด้วยตัวแปรอิสระ และตัวแปรตาม

4.2 หัวลูกศรเส้นทางของตัวแปรจะต้องเขียนให้ชัดเจน และถูกต้อง เพราะถ้าหากเขียนผิดนั่นหมายถึงการใช้สถิติที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

5. เครื่องมือการวิจัย 

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย อาจจะเป็นอุปกรณ์สำหรับการทดลอง แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แผนการศึกษาสำหรับนักเรียน หรือโปรแกรมที่ใช้ทำการทดลอง  ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการวิจัยด้วยเช่นกัน เพราะเครื่องมือดังกล่าวจะนำมาใช้สำหรับรวบรวมข้อมูล เพื่อนำมาวิเคราะห์หาคำตอบและทดสอบสมมติฐานต่อไป

ซึ่งเคล็ดลับในการสร้างเครื่องมือการวิจัย  ผู้เขียนขอแนะนำ ดังนี้ 

5.1 เครื่องมือการวิจัยต้องสอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎีที่จะศึกษา

5.2 ข้อคำถามในเครื่องมือการวิจัย ต้องไม่เยอะ หรือน้อยจนเกินไป

5.3 เครื่องมือการวิจัยที่ท่านได้สร้างขึ้นมาจะต้องผ่านการตรวจสอบเนื้อหาก่อนว่า ข้อคำถามครอบคลุมวัตถุประสงค์หรือไม่ หลังจากการนำเครื่องมือการวิจัยไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ และนำมาปรับปรุงตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา

5.4 นำเครื่องมือการวิจัยที่ปรับปรุงตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา มาตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) จากนั้นปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาอีกครั้ง

5.4 นำเครื่องมือการวิจัยที่ได้ไปทดลองใช้ (pre-test) กับ กลุ่มตัวอย่างที่คล้ายกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน เพื่อหาคุณภาพเครื่องมือ โดยการหาค่าความเที่ยงหรือความเชื่อถือได้ของแบบสอบถาม (Reliability) ตามสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha) และใช้โปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ในการคำนวณ เพื่อให้ได้ค่าความเที่ยงหรือความเชื่อถือได้ของเครื่องมือการวิจัยที่มากกว่า 0.7 ขึ้นไป หากค่าความเที่ยงหรือความเชื่อถือได้ของเครื่องมือการวิจัยมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้จะถือว่าเครื่องมือการวิจัยนี้มีความเชื่อถือได้ และสามารถนำไปเก็บข้อมูลได้จริง

ภาพจาก Pixabay.com

6. สถิติสำหรับการวิจัย 

ซึ่งสถิติสำหรับการวิจัยถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้งานสมบูรณ์แบบมากขึ้น ทำให้ท่านเห็นข้อมูล ปัญหาต่างๆ ข้อดี และข้อเสีย ที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งสถิติที่ใช้สำหรับการวิจัยจะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ สถิติเชิงพรรณา กับสถิติเชิงอนุมาน

ซึ่งเคล็ดลับในการใช้สถิติสำหรับการวิจัย ผู้เขียนขอแนะนำ ดังนี้ 

6.1 สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ใช้สำหรับในการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งสถิตินี้ส่วนใหญ่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรศาสตร์ ทัศนคติของกลุ่มตัวอย่าง เป็นต้น

6.2 สถิติเเชิงอนุมาน (Inferential Statistics)  ใช้สำหรับการทดสอบสมมติฐานส่วนใหญ่เป็นสถิติขั้นสูง เช่น สถิติ T-test ANOVA สถิติ Regression  ซึ่งสถิตินี้ส่วนใหญ่ใช้สำหรับคาดการณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  

ในขั้นตอนการใช้สถิตินี้หากท่านไม่ถนัด ควรหาตัวช่วยที่มีความรู้ด้านสถิติ มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เพราะขั้นตอนนี้หากตัวเลขผิดพลาดเพียงตัวเดียวอาจจะกระทบต่อข้อมูลอื่นๆ ในงานวิทยานิพนธ์ของท่านจนต้องรื้อทำใหม่ได้ 

7. ข้อสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิจัย ถือเป็นส่วนที่สำคัญมาก เนื่องจากข้อสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ถือเป็นแนวทางเพื่อให้ท่าน หรือผู้อ่านวิทยานิพนธ์ของท่านสามารถนำข้อสรุปงานวิทยานิพนธ์ของท่าน มาต่อยอด หรือมีแนวทางในการแก้ปัญหา ให้กับสังคม หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรได้บ้าง 

ซึ่งเคล็ดลับในการเขียนข้อสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ  ผู้เขียนขอแนะนำ ดังนี้

7.1 ข้อสรุปจากผลการวิจัยต้องสรุปให้สั้น กระชับ และได้ใจความ

7.2 การอภิปรายต้องอภิปรายให้เห็นถึงประเด็นของผลการศึกษาและนำข้อโต้แย้งจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาสอดคล้องเพื่อให้เห็นวิธีการแก้ไขปัญหา หรือข้อแตกต่างของผลการวิจัยของท่าน เพื่อให้งานมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

7.3 ข้อเสนอแนะจะต้องสามารถนำไปต่อยอดในงานที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ ดังนั้นควรระบุว่าใครจะได้อะไรบ้าง และถ้าทำตามคำแนะนำของผู้วิจัยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะได้อะไรบ้าง

ขั้นตอนทั้ง 7 ที่ได้กล่าวมาข้างต้นจะเป็นองค์ประกอบหลักของการทำวิทยานิพนธ์ที่ดี ถ้าทำตามเคล็ดลับที่ผู้เขียนได้ให้ไปนี้ จะสามารถเปลี่ยนการทำวิทยานิพนธ์ที่คิดว่ายากให้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นได้

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ดี แก้ไขปัญหาอย่างไรดี?

ภาพจาก pexels.com

หลายครั้งที่ทางทีมงานมักจะได้ยินคำบ่นปนเสียงท้อ ของนักศึกษาระดับปริญญาโทเสมอว่า “ที่ปรึกษาผมไม่ค่อยสนใจเลย ไม่เคยชี้แนะแนวทางอะไรในงาน บางครั้งทำให้คลุมเครือ จนคุยกันไม่ได้ เพราะท่านไม่ฟังแนวคิดของผมเลย บางครั้งส่งงานไปท่านก็ไม่อ่าน บางครั้งนัดเจอเพื่อคุยงานก็ทำให้รู้เลยว่าไม่ได้ดูงานที่ส่งไปเลยครับ”

ดังนั้นการที่จะทำวิทยานิพนธ์สำหรับนักศึกษาที่ไม่มีความรู้ที่เพียงพอในเรื่องวิทยานิพนธ์ก็จำเป็นที่จะต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ ไว้คอยให้คำปรึกษาในขั้นตอนต่างๆ เช่น การนำเสนอร่างวิทยานิพนธ์ การเก็บข้อมูลวิจัย การสรุปผลการวิจัยให้ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา รวมไปถึงการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งขั้นตอนการแนะนำที่กล่าวมาข้างต้นที่นักศึกษาต้องการได้รับจากอาจารย์ที่ปรึกษา นักวิจัยมือใหม่ที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่อาจจะพบเจอปัญหาตามที่ได้เกริ่นนำเรื่องมาข้างต้น คือ การเจออาจารย์ที่ปรึกษาที่ไม่ดี ทำให้มีความเห็นต่องานที่ไม่ตรงกัน ทำให้เมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในการทำวิทยานิพนธ์จึงไม่รู้ว่าควรที่จะแก้ไขตรงไหนดี แล้วจะมีวิธีการอย่างไรบ้างที่จะทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาสามารถชี้แนะแนวทางให้งานวิทยานิพนธ์ของเราให้ผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งบทความนี้จะพาท่านมาหาคำตอบที่สามารถนำมาประกอบการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาเมื่อพบเจออาจารย์ที่ปรึกษาไม่ดีกันค่ะ

วิธีการแก้ปัญหาอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ดี

1. ต้องเริ่มแสวงหาความรู้ด้วยตนเองก่อน

ในขั้นตอนแรกตัวของผู้วิจัยควรที่จะศึกษาทำความเข้าใจกับระเบียบของสถาบันทางการศึกษาของผู้วิจัยทำการศึกษาอยู่เสียก่อน เพื่อให้ทราบถึงขอบเขตของงานวิจัยที่ต้องการทำ และจัดเตรียมเนื้อหาข้อมูลให้ครบถ้วน สำหรับเตรียมตัวที่จะเข้าพบเพื่อพูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ว่าท่านยังพบปัญหาใดบ้างในการทำวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากอาจารย์ที่ปรึกษา จากประเด็นที่ผู้วิจัยยังไม่สามารถเข้าใจเองได้ ดังนั้นในการขอความคิดเห็นจากอาจารย์ที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ในด้านการเขียนงานวิชาการมากกว่าตัวท่านเอง ผู้วิจัยจึงไม่ควรมีอคติหรือตั้งความคิดของตัวเองเป็นหลัก และควรที่จะทำการเปิดรับฟังความคิดเห็นของอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อจะได้นำมาพัฒนาต่อยอดวิทยานิพนธ์ที่ตนเองกำลังศึกษาอยู่ให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามเป้าหมายของมหาลัยในการผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพ  คือ  

– การสร้างผู้ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้ และรักการเรียนรู้

– การสร้างผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของตน

– การสร้างผู้มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์

– การสร้างผู้มีความสามารถในการสื่อสารทั้งในการพูด เขียน การนำเสนอ

– การสร้างผู้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ซึ่งบางครั้งอาจารย์ที่ปรึกษาอยากจะให้ท่านได้แสวงหาความรู้ด้วยตนเองก่อน เพื่อให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่ ไม่ใช่มัวแต่จะคอยถามอาจารย์ที่ปรึกษาทุกอย่างโดยไม่เคยสืบค้นหาข้อมูลด้วยตนเองก่อนเลย อาจารย์ที่ปรึกษาท่านจึงให้คำปรึกษาแบบเปิดกว้าง เพื่อให้ท่านได้นำข้อมูลที่ค้นหามาคิดต่อยอดในงานวิทยานิพนธ์ของท่านเอง แต่กระนั้นแล้วหากท่านเกิดปัญหาในขณะทำวิทยานิพนธ์จริงๆ โดยที่หาคำตอบแล้วยังไม่เข้าใจในคำตอบนั้น แล้วอยากให้ที่ปรึกษาอธิบาย ท่านควรลิสรายการข้อปัญหาต่างๆ ที่ท่านพบเจอในการทำวิทยานิพนธ์ออกมาเป็นรายการ และทำการนัดขอพบเจอท่านหรืออีเมลหาท่านเพื่อหาคำตอบในครั้งนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาระหว่างท่านและอาจารย์ที่ปรึกษาในการปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ และการปฏิบัติเช่นนี้จะเป็นการสร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่ดีให้แก่ผู้วิจัยเองอีกด้วย 

ภาพจาก pexels.com

2. เชื่อมั่นในประสบการณ์ของอาจารย์ที่ปรึกษา  การที่อาจารย์ท่านหนึ่งจะสามารถมาเป็นที่ปรึกษาได้นั้น ท่านจะต้องพัฒนาตนเองให้มีคุณลักษณะของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ที่พร้อมทั้งความรู้ ความสามารถ และบุคลิกภาพเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการทำงานวิชาการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี  การสร้างสรรค์ผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง การแสวงหาความรู้ ติดตามวิทยาการและรู้แหล่งข้อมูลในศาสตร์นั้นๆ เพื่อให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่อง/หัวข้อที่ดูแล จนสามารถแสดงจุดยืนหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะให้นักศึกษาประจักษ์ได้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงควรเชื่อมั่น และรับฟังความคิดเห็นของอาจารย์ที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิมากกว่าผู้วิจัย แล้วนำข้อมูลที่ได้จากท่านอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นตัวช่วย และปรับใช้ในกระบวนการวิจัยของผู้วิจัยให้เหมาะสมเป็นไปตามมาตรฐานที่มหาวิทยาลัยกำหนด

3. ไม่ควรที่จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียว

การมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวในการทำวิทยานิพนธ์ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่อาจจะไม่ใช่ทางออกเส้นทางเดียวของท่านก็เป็นได้ หากความรู้ของอาจารย์ที่ปรึกษาหลักยังไม่สามารถสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่ได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาแต่ละท่านมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานและการศึกษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นการให้ข้อมูลในหัวข้อที่ท่านกำลังศึกษาอยู่อาจไม่ครอบคลุมประเด็นที่เพียงพอต่อการทำวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ จึงเป็นปัญหาระหว่างการทำวิทยานิพนธ์ได้  ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าท่านได้ที่ปรึกษาร่วมที่มีความรู้ตรงกับหัวข้อที่ผู้วิจัยศึกษาอยู่ เพื่อนำความรู้และข้อมูลของอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมมาสนับสนุนข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์ของท่านให้สมบูรณ์ และมีหนักมากขึ้นได้ เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาหลักอาจจะมีความคิดเห็นบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องหรือแก้ไขปัญหาการทำวิทยานิพนธ์ของท่านได้ วิธีแก้ไขคือการนำเอาความคิดเห็นของอาจารย์ที่ปรึกษาอีกท่านนำมาช่วยสนับสนุนงานข้อมูลเดิมของท่าน ก็อาจจะทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ดีขึ้นมาได้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเป็นอีกวิธีที่เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ในเรื่องของอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ดีขึ้นมาได้บ้าง ทั้งตัวผู้วิจัยและตัวของอาจารย์ที่ปรึกษาเองก็ควรที่จะมีการปรับทัศนคติมุมมองในการทำวิทยานิพนธ์ เพื่อเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและนำความคิดเห็นมาพิจารณาแก้ไขปัญหาอย่างไม่มีอคติหรือทิฐิได้อีกทางหนึ่ง

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)